คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก

  • Home
  • อารัมภบท
  • ภาคที่หนึ่ง
    • ส่วนที่หนึ่ง “ข้าพเจ้าเชื่อ” – “ข้าพเจ้าทั้งหลายเชื่อ”
      • บทที่หนึ่ง มนุษย์ “เข้าใจ” พระเจ้าได้
      • บทที่สอง พระเจ้าทรงพบกับมนุษย์
      • บทที่สาม มนุษย์ตอบสนองพระเจ้า
    • ส่วนที่สอง การยืนยันความเชื่อของคริสตชน
      • ตอนที่ 1 “ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ ทรงเนรมิตฟ้าดิน”
      • ตอนที่ 2 “ข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย”
      • ตอนที่ 3 พระเยซูคริสตเจ้า “ทรงปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์พรหมจารี”
      • ตอนที่ 4 พระเยซูคริสตเจ้า “ทรงรับทรมานสมัยปอนทิอัสปีลาต ทรงถูกตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์ และทรงถูกฝังไว้”
      • ตอนที่ 5 “พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จสู่แดนมรณะ วันที่สามทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย”
      • ตอนที่ 6 “พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ”
      • ตอนที่ 7 “แล้วจะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย”
      • ตอนที่ 8 “ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิตเจ้า”
      • ตอนที่ 9 “ข้าพเจ้าเชื่อพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์สากล”
      • ตอนที่ 10 “ข้าพเจ้าเชื่อการอภัยบาป”
      • ตอนที่ 11 “ข้าพเจ้าเชื่อการกลับคืนชีพของร่างกาย”
      • ตอนที่ 12 “ข้าพเจ้าเชื่อถึงชีวิตนิรันดร”
  • ภาคที่สอง
    • ส่วนที่หนึ่ง ระเบียบการเกี่ยวกับศีลศักดิ์สิทธิ์
      • บทที่หนึ่ง พระธรรมล้ำลึกปัสกาในช่วงเวลาของพระศาสนจักร
      • บทที่สอง การประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมฉลองพระธรรมล้ำลึกปัสกา
    • ส่วนที่สอง ศีลศักดิ์สิทธิ์เจ็ดประการของพระศาสนจักร
      • ตอนที่ 1 ศีลล้างบาป
      • ตอนที่ 2 ศีลกำลัง
      • ตอนที่ 3 ศีลมหาสนิท
      • ตอนที่ 4 ศีลแห่งการคืนดีและอภัยบาป
      • ตอนที่ 5 ศีลเจิมคนไข้
      • ตอนที่ 6 ศีลบวช
      • ตอนที่ 7 ศีลสมรส
      • การประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ชนิดอื่น ๆ
  • ภาคที่สาม
    • ส่วนที่หนึ่ง มนุษย์ได้รับเรียกให้ดำเนินชีวิตในพระจิตเจ้า
      • บทที่หนึ่ง ศักดิ์ศรีความเป็นบุคคลของมนุษย์
      • บทที่สอง ชุมชนมนุษย์
      • บทที่สาม ความรอดพ้นที่พระเจ้าประทานให้ – กฎหมายและพระหรรษทาน
      • พระบัญญัติสิบประการ
    • ส่วนที่สอง พระบัญญัติสิบประการ
      • ตอนที่ 1 พระบัญญัติประการแรก
      • ตอนที่ 2 พระบัญญัติประการที่สอง
      • ตอนที่ 3 พระบัญญัติประการที่สาม
      • ตอนที่ 4 พระบัญญัติประการที่สี่
      • ตอนที่ 5 พระบัญญัติประการที่ห้า
      • ตอนที่ 6 พระบัญญัติประการที่หก
      • ตอนที่ 7 พระบัญญัติประการที่เจ็ด
      • ตอนที่ 8 พระบัญญัติประการที่แปด
      • ตอนที่ 9 พระบัญญัติประการที่เก้า
      • ตอนที่ 10 พระบัญญัติประการที่สิบ
  • ภาคที่สี่
    • ส่วนที่หนึ่ง การอธิษฐานภาวนาในชีวิตคริสตชน
      • บทที่หนึ่ง การเปิดเผยเรื่องการอธิษฐานภาวนา มนุษย์ทุกคนได้รับเรียกมาให้อธิษฐานภาวนา
      • บทที่สอง ธรรมประเพณีเรื่องการอธิษฐานภาวนา
      • บทที่สาม ชีวิตการอธิษฐานภาวนา
    • ส่วนที่สอง บทภาวนา “ข้าแต่พระบิดา” ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
      • ตอนที่หนึ่ง “สรุปพระวรสารทั้งหมด”
      • ตอนที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์”
      • ตอนที่สาม คำวอนขอเจ็ดประการ
      • ตอนที่สี่ บทยอพระเกียรติสุดท้าย
  • ดัชนีเรื่อง
  • ค้นหา

ส่วนที่สอง พระบัญญัติสิบประการ

ส่วนที่สอง

พระบัญญัติสิบประการ


“
พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำ […] อะไร....?

 2052   “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร” พระเยซูเจ้าทรงตอบชายหนุ่มที่ทูลถามคำถามนี้ โดยก่อนอื่นทรงเน้นว่าพระเจ้าทรงเป็น “ผู้ทรงความดีแต่ผู้เดียวเท่านั้น” ทรงเป็นความดีสูงสุดและบ่อเกิดแห่งความดีทั้งหลาย พระองค์ยังตรัสกับเขาอีกว่า “ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” แล้วทรงเตือนคู่สนทนาของพระองค์ให้ระลึกถึงบทบัญญัติเกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา” ในที่สุด พระเยซูเจ้ายังทรงสรุปบทบัญญัติเหล่านี้ไว้ในเชิงบวกว่า “จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง” (มธ 19:16-19)

 2053   พระองค์ยังทรงเสริมคำตอบแรกนี้อีกว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” (มธ 19:21) บัญญัติข้อนี้ไม่ลบล้างข้อแรก การติดตามพระคริสตเจ้ารวมบทบัญญัติทุกข้อ ธรรมบัญญัติไม่ถูกลบล้าง[1] แต่เชิญชวนมนุษย์ให้พบธรรมบัญญัติในพระบุคคลของพระอาจารย์ซึ่งเป็นผู้ปรับปรุงธรรมบัญญัติให้สมบูรณ์ ในพระวรสารสหทรรศน์ทั้งสามฉบับ พระวาจาที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเศรษฐีหนุ่มให้เป็นศิษย์ติดตามพระองค์ด้วยความเชื่อฟังและปฏิบัติตามบทบัญญัติยังทรงเสริมการเรียกให้ปฏิบัติความยากจนและความบริสุทธิ์[2] คำแนะนำของพระวรสารแยกไม่ออกจากบทบัญญัติ

 2054   พระเยซูเจ้าทรงยอมรับพระบัญญัติสิบประการมาเทศน์สอนอีก แต่ทรงย้ำถึงพลังของพระจิตเจ้าที่ทำงานในตัวบทของบัญญัติเหล่านี้ด้วย พระองค์ทรงประกาศสอนเรื่องความชอบธรรมที่ดีกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี[3] รวมทั้งของคนต่างศาสนาด้วย[4] พระองค์ทรงอธิบายข้อเรียกร้องต่างๆ ของธรรมบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อ “ท่านได้ยินคำกล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน […] แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้องจะต้องขึ้นศาล” (มธ 5:21-22)

 2055   เมื่อมีผู้ถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” (มธ 22:36) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้” (มธ 22:37-40)[5] พระบัญญัติสิบประการต้องรับการอธิบายโดยคำนึงถึงบัญญัติหนึ่งเดียวแต่มีสองหน้าเรื่องความรักนี้ ซึ่งเป็นการทำให้ธรรมบัญญัติบรรลุความสมบูรณ์

            “พระบัญญัติกล่าวว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน” (รม 13:9-10)

พระบัญญัติสิบประการในพระคัมภีร์

 2056   คำ “Decalogus” (ที่เราแปลว่า “พระบัญญัติสิบประการ”) แปลตามตัวอักษรได้ว่า “ถ้อยคำสิบคำ”(อพย 34:28; ฉธบ 4:13; 10:4) พระเจ้าทรงเปิดเผย “พระวาจาสิบคำ” นี้แก่ประชากรของพระองค์บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงเขียนพระวาจาสิบคำนี้ “ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์”[6] ต่างจากบัญญัติอื่นๆ ที่เขียนโดยโมเสส[7] พระวาจาสิบคำนี้จึงเป็นพระวาจาของพระเจ้าในความหมายพิเศษ พระบัญญัติสิบประการได้รับการถ่ายทอดมาถึงเราในหนังสืออพยพ[8]และในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ[9] ตั้งแต่ในพันธสัญญาเดิมแล้วพระคัมภีร์กล่าวถึง “พระวาจาสิบคำ”[10] แต่ในพันธสัญญาใหม่ ความหมายสมบูรณ์ของพระวาจาเหล่านี้จะได้รับการเปิดเผยในพระเยซูเจ้า

 2057   พระบัญญัติสิบประการเข้าใจได้โดยเฉพาะในบริบทของการอพยพซึ่งเป็นกิจการช่วยให้รอดพ้นที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ว่าพระบัญญัติสิบประการนี้จะเรียบเรียงไว้เป็นข้อห้าม หรือเป็นคำสั่ง (เช่น “จงนับถือบิดามารดาของท่าน”) ก็ล้วนแสดงเงื่อนไขสำหรับชีวิตที่ได้รับการช่วยให้พ้นจากการเป็นทาสของบาปแล้ว พระบัญญัติสิบประการเป็นแนวทางชีวิต

            “ถ้า […] ท่านจะรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านและเดินตามวิถีทางของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ของพระองค์แล้ว ท่านจะมีชีวิตและทวีจำนวนขึ้น” (ฉธบ 30:16)

             พลังช่วยให้รอดพ้นของพระบัญญัติสิบประการนี้ปรากฏให้เห็น เช่นในบัญญัติให้พักผ่อนในวันสับบาโตที่กำหนดไว้ทั้งสำหรับคนต่างด้าวและบรรดาทาสด้วย

           “จงจำไว้ว่าท่านเคยเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรงใช้พระหัตถ์ทรงฤทธิ์และพระอานุภาพยิ่งใหญ่นำท่านออกจากที่นั่น” (ฉธบ 5:15)

 2058  พระบัญญัติสิบประการสรุปและประกาศกฎของพระเจ้า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสพระวาจาเหล่านี้แก่ท่านทุกคนที่มาชุมนุมกันที่ภูเขาด้วยพระสุรเสียงดังจากกองไฟ จากเมฆและความมืดทึบ หลังจากนั้นพระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรอีก พระองค์ทรงจารึกพระวาจานี้ไว้บนศิลาสองแผ่นและทรงมอบให้ข้าพเจ้า” (ฉธบ 5:22) เพราะฉะนั้น ศิลาสองแผ่นนี้จึงเรียกว่า “แผ่นศิลาจารึก” (หรือ “คำยืนยัน” หรือ “คำสั่ง” หรือ “ข้อกำหนด”) (อพย 25:16) เพราะแผ่นศิลาจารึกเหล่านี้บรรจุเงื่อนไขพันธสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ จึงจำเป็นต้องบรรจุ “แผ่นศิลาจารึก” เหล่านี้ (อพย 31:18; 32:15; 34:29) ไว้ใน “หีบ(พันธสัญญา)” (อพย 25:16; 40:1-3)

 2059  พระเจ้าทรงประกาศพระบัญญัติสิบประการ (“พระวาจาสิบคำ”) ในระหว่างการแสดงพระองค์บนภูเขาซีนาย (“พระองค์ตรัสแก่ท่านโดยตรงจากกองไฟบนภูเขา” ฉธบ 5:4) การที่ทรงแสดงพระองค์และพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์นี้เป็นเรื่องของการเปิดเผย (revelation) การประทานพระบัญญัติจึงเป็นการประทานพระเจ้าพระองค์เองและพระประสงค์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ทำให้เรารู้พระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์แก่ประชากรของพระองค์

 2060  การประทานธรรมบัญญัติและกฎหมายจึงเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับประชากรของพระองค์ ในหนังสืออพยพ “พระบัญญัติสิบประการ” ได้รับการเปิดเผยในกระบวนการระหว่างการเสนอพันธสัญญา[11] กับการทำสัตยาบรรณของการนี้[12] - หลังจากที่ประชากรผูกมัดตนเองเพื่อ “ทำ” สิ่งใดไม่ว่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัส และ “เชื่อฟัง” พระองค์[13] พระบัญญัติสิบประการไม่เคยได้รับการถ่ายทอดต่อมาเลยถ้าไม่ได้กล่าวถึงการทำพันธสัญญาเสียก่อน (“องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงทำพันธสัญญาไว้กับเราที่ภูเขาโฮเรบ” ฉธบ 5:2)

 2061  พระบัญญัติมีความหมายสมบูรณ์ภายในพันธสัญญา พระคัมภีร์สอนว่าความประพฤติของมนุษย์มีความหมายสมบูรณ์ในพันธสัญญาและโดยทางพันธสัญญา พระบัญญัติประการแรกจาก “พระบัญญัติสิบประการ” ก่อนอื่นใดหมดเตือนให้ระลึกถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์

           “เนื่องจากการที่มนุษย์ได้ตกลงมาจากอิสรภาพแห่งสวนอุทยานมารับสภาพการเป็นทาสในโลกนี้ ข้อความแรกของพระบัญญัติสิบประการจึงเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าที่กล่าวถึงอิสรภาพ ตรัสว่า  ‘เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เป็นผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ ให้พ้นจากการเป็นทาส’ (อพ 20:2; ฉธบ 5:6)”[14]

 2062   พระบัญญัติจริงๆ มาเป็นอันดับที่สอง แสดงข้อเรียกร้องของสภาพการเป็น(ประชากร)ของพระเจ้าที่เกิดจากพันธสัญญา การมีศีลธรรมเป็นคำตอบต่อการริเริ่มของพระเจ้าที่เต็มด้วยความรัก เป็นการยอมรับ เป็นการถวายคารวะต่อพระเจ้าและเป็นคารวกิจการขอบพระคุณ เป็นการร่วมมือกับแผนงานที่พระเจ้าทรงกระทำตลอดมาในประวัติศาสตร์

 2063   พันธสัญญาและการสนทนาระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ยังมีหลักฐานยืนยันจากการที่ว่าข้อผูกมัดทั้งหลายกล่าวไว้ในกริยาบุรุษที่หนึ่ง (“เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า....”) และพูดกับผู้อื่นอีกคนหนึ่ง (“ท่าน....”) พระบัญญัติทุกข้อของพระเจ้าล้วนใช้บุรุษสรรพนามในรูป เอกพจน์ หมายถึงผู้รับพระบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าทรงแสดงพระประสงค์ของพระองค์ให้เป็นที่รู้จักทั้งแก่ประชากรทั้งหมดพร้อมกัน และให้เป็นที่รู้จักแก่ประชากรแต่ละคนด้วย

          “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้มีความรักต่อพระเจ้าและยังทรงสอนอีกว่าความรักต่อเพื่อนมนุษย์เป็นความชอบธรรรม เพื่อมิให้เขาเป็นผู้ไม่ชอบธรรมและไม่เหมาะสมกับพระเจ้า พระองค์ทรงกำหนดให้มนุษย์เข้าอยู่ในมิตรภาพกับพระองค์และเป็นมิตรและมีความสามัคคีกับเพื่อนพี่น้อง […] โดยปฏิบัติตามพระบัญญัติสิบประการ และดังนี้ [ถ้อยคำของพระบัญญัติสิบประการ] จึงยังคงเป็นเช่นเดิมสำหรับพวกเรา [คริสตชน] ได้รับการขยายความและพัฒนาขึ้น ไม่ใช่ถูกยกเลิกเพราะการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ของพระองค์”[15]


พระบัญญัติสิบประการในธรรมประเพณีของพระศาสนจักร

 2064    ธรรมประเพณีของพระศาสนจักรซื่อสัตย์ต่อพระคัมภีร์และปฏิบัติตามพระแบบฉบับของพระเยซูเจ้า ได้ยอมรับว่าพระบัญญัติสิบประการมีความสำคัญและความหมายพิเศษในอันดับแรก

 2065    ตั้งแต่สมัยนักบุญออกัสตินมาแล้ว “พระบัญญัติสิบประการ” มีบทบาทสำคัญในการสอนบรรดาผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปและผู้มีความเชื่อแล้ว ในศตวรรษที่ 15 ได้เริ่มมีธรรมเนียมเรียบเรียงข้อความของพระบัญญัติสิบประการให้เป็นสูตรคล้องจองกันให้จดจำได้ง่าย สูตรเช่นนี้ยังคงใช้อยู่จนถึงวันนี้ การสอนคำสอนของพระศาสนจักรบ่อยๆยังอธิบายคำสอนด้านศีลธรรมของคริสตชนตามลำดับของ “พระบัญญัติสิบประการ”

 2066    การแบ่งและนับตำแหน่งของบัญญัติต่างๆ มีความแตกต่างกันบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์  หนังสือคำสอนเล่มนี้ทำตามการแบ่งบัญญัติตามที่นักบุญออกัสตินกำหนดไว้และได้กลายเป็นธรรมประเพณีในพระศาสนจักรคาทอลิก ลำดับนี้ยังใช้ในกลุ่มชาวลูเธรันด้วยเช่นเดียวกัน บรรดาปิตาจารย์กรีกได้แบ่งบัญญัติแตกต่างไปเล็กน้อย ซึ่งยังพบได้ในพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์และชุมชนคริสเตียนปฏิรูปกลุ่มต่างๆ

 2067   พระบัญญัติสิบประการกล่าวถึงข้อเรียกร้องของความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ พระบัญญัติสามประการแรกเกี่ยวข้องกับความรักต่อพระเจ้า และพระบัญญัติอีกเจ็ดประการเกี่ยวข้องกับความรักต่อเพื่อนมนุษย์

           “เนื่องจากบัญญัติความรักมีอยู่สองประการ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าธรรมบัญญัติและ(คำสอนของ)ประกาศกทั้งหมดขึ้นอยู่ฉันใด […] พระเจ้าจึงประทานพระบัญญัติสิบประการไว้บนศิลาจารึกสองแผ่นด้วยฉันนั้น พระบัญญัติสามประการเขียนไว้บนศิลาแผ่นหนึ่ง และเจ็ดประการเขียนไว้บนอีกแผ่นหนึ่ง”[16]

 2068   สภาสังคายนาแห่งเมืองเตร็นท์สอนว่าบรรดาคริสตชนและมนุษย์ที่ได้รับความชอบธรรมยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติสิบประการนี้[17] สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ยังกล่าวย้ำอีกว่า “บรรดาพระสังฆราช ในฐานะผู้สืบตำแหน่งต่อจากบรรดาอัครสาวก ได้รับพันธกิจจากองค์พระผู้เป็นเจ้า […] ให้ไปสอนนานาชาติและประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง เพื่อว่ามนุษย์ทุกคน อาศัยความเชื่อ ศีลล้างบาป และการปฏิบัติตามพระบัญญัติ จะได้บรรลุถึงความรอดพ้น”[18]

 

เอกภาพของพระบัญญัติสิบประการ

 2069   พระบัญญัติสิบประการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกกันไม่ออก พระบัญญัติ (หรือ “ถ้อยคำ”) แต่ละข้อมีความสัมพันธ์ต่อกันและต่อทุกข้อ ศิลาจารึกทั้งสองแผ่นให้ความกระจ่างต่อกัน รวมกันเป็นเอกภาพอย่างใกล้ชิด การละเมิดธรรมบัญญัติข้อหนึ่งก็เป็นการละเมิดธรรมบัญญัติทุกข้อด้วย[19] เราจะให้เกียรติผู้อื่นไม่ได้ถ้าไม่ถวายพระพรแด่พระเจ้าพระผู้ที่ทรงสร้างเขามาด้วย  เราจะนมัสการพระเจ้าไม่ได้ถ้าเราไม่รักมนุษย์ทุกคนที่พระองค์ทรงเนรมิตสร้างมาด้วย พระบัญญัติสิบประการรวมชีวิตที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าและชีวิตสังคมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน

 

พระบัญญัติสิบประการและกฎธรรมชาติ

 2070   พระบัญญัติสิบประการเกี่ยวข้องกับการเปิดเผยจากพระเจ้า ในเวลาเดียวกันพระบัญญัติเหล่านี้ยังสอนเราให้เป็นคนดีด้วย พระบัญญัติบอกให้เรารู้จักหน้าที่ที่สำคัญของเรา แล้วนั้นจึงกล่าวถึงสิทธิพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของเรามนุษย์ที่เป็นบุคคลด้วย พระบัญญัติสิบประการจึงเป็นการกล่าวถึง “กฎธรรมชาติ” ไว้อย่างดีเลิศ

             “เพราะตั้งแต่แรกแล้ว พระเจ้าประทานกฎธรรมชาติแก่มนุษย์แล้วยังเตือนเขาอาศัยพระบัญญัติสิบประการว่า ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ก็จะไม่ได้รับความรอดพ้น – และไม่ทรงเรียกร้องอะไรอีกมากกว่านี้”[20]

 2071   แม้ว่าเราอาจใช้เหตุผลเข้าถึงข้อกำหนดของพระบัญญัติสิบประการได้ แต่ข้อกำหนดเหล่านี้ก็ได้รับการเปิดเผย มนุษยชาติที่เป็นคนบาปต้องการการเปิดเผยนี้เพื่อจะรับความรู้ให้แน่ชัดถึงการเรียกร้องของกฎธรรมชาตินี้ได้

          “จำเป็นต้องอธิบายข้อบังคับของพระบัญญัติสิบประการอย่างสมบูรณ์ตามสภาพของบาป เนื่องจากความมืดมัวของเหตุผลและความบิดเบี้ยวของเจตนา(ของมนุษย์)”[21]

           เรารู้จักพระบัญญัติของพระเจ้าจากการเปิดเผยของพระเจ้าที่พระศาสนจักรบอกให้  เราทราบ รวมทั้งอาศัยเสียงมโนธรรมของเราด้านศีลธรรม


อำนาจบังคับของพระบัญญัติสิบประการ

 2072   เนื่องจากว่า  พระบัญญัติสิบประการ กล่าวถึงหน้าที่พื้นฐานของมนุษย์ต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ เปิดเผยข้อบังคับเรื่องสำคัญ(หนัก)ในบัญญัติเหล่านี้ โดยหลักการแล้ว บัญญัติเหล่านี้จึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้และมีอำนาจบังคับตลอดไปและทั่วทุกแห่ง ไม่มีใครอาจรับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามได้ พระเจ้าทรงจารึกพระบัญญัติทั้งสิบประการนี้ไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน

 2073    การปฏิบัติตามพระบัญญัติเหล่านี้ยังรวมถึงข้อบังคับที่ในตัวเองมีเนื้อหาไม่หนักหนาอะไร ดังนี้การทำร้ายด้วยวาจาจึงถูกห้ามโดยพระบัญญัติประการที่ห้าด้วย และความผิดคงไม่อาจเป็นเรื่องหนักได้นอกจากโดยเหตุผลของสภาพแวดล้อมหรือเจตนาของผู้ที่กล่าวถ้อยคำนั้น


“
ถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย”

 2074   พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย” (ยน 15:5) ผลที่พระวาจานี้กล่าวถึงก็คือความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตที่เกิดจากความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า ร่วมสัมพันธ์กับพระธรรมล้ำลึกของพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ พระองค์พระผู้ไถ่ก็เสด็จมาพบพระบิดาและพี่น้องของพระองค์ มารักพระบิดาและพี่น้องของเราในตัวเรา  เดชะพระจิตเจ้า พระบุคคลของพระองค์กลับเป็นกฎปฏิบัติที่มีชีวิตชีวาในตัวเรา “นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน” (ยน 15:12)


สรุป

2075    “ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรเพื่อจะมีชีวิตนิรันดร” – “ถ้าท่านอยากเข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” (มธ 19:16-17)

2076    พระเยซูเจ้าทรงยืนยันด้วยวิธีการปฏิบัติและเทศน์สอนของพระองค์ว่าพระบัญญัติสิบประการมีผลบังคับใช้ตลอดไป

2077    พระบัญญัติสิบประการเป็นของประทานที่พระเจ้าประทานให้ภายในพันธสัญญาที่ทรงกระทำกับประชากรของพระองค์ พระบัญญัติของพระเจ้ามีความหมายแท้จริงภายในและโดยทางพันธสัญญาครั้งนี้

2078    ธรรมประเพณีของพระศาสนจักร ซื่อสัตย์ต่อพระคัมภีร์และปฏิบัติตามพระฉบับของพระเยซูเจ้า ยอมรับตลอดมาว่าพระบัญญัติสิบประการมีความสำคัญและความหมายเป็นอันดับหนึ่ง

2079    พระบัญญัติสิบประการรวมกันมีเอกภาพคล้ายกับร่างกายมีชีวิตที่ “บทบัญญัติ” หรือ “ถ้อยคำ” แต่ละข้อมีความสัมพันธ์กับบัญญัติทั้งชุด การฝ่าฝืนบัญญัติข้อหนึ่งก็เป็นการผิดต่อธรรมบัญญัติทุกข้อ[22]

2080    พระบัญญัติสิบประการบรรจุความหมายของกฎธรรมชาติไว้อย่างดีเลิศ ทำให้เรารู้จักกฎธรรมชาติได้อาศัยการเปิดเผยความจริงของพระเจ้าและการใช้เหตุผลของมนุษย์

2081    บทบัญญัติที่มีอยู่เป็นพิเศษในพระบัญญัติสิบประการบอกให้เรารู้ถึงข้อบังคับสำคัญ ถึงกระนั้น การปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ยังอาจรวมถึงข้อบังคับที่ในตัวเองมีเนื้อหาไม่สำคัญนักก็ได้

2082    พระเจ้าทรงบัญญัติสิ่งใด ก็ประทานพระหรรษทานของพระองค์ทำให้เราปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านั้นได้ด้วย

 

[1]  เทียบ มธ 5:17.

[2] เทียบ มธ 19:6-12,21,23-29.

[3] เทียบ มธ 5:20.

[4] เทียบ มธ 5:46-47.

[5] เทียบ ฉธบ 6:5; ลนต 19:18.

[6] เทียบ อพย 31:18; ฉธบ 5:22.

[7]  เทียบ ฉธบ 31:9,24.

[8] เทียบ อพย 20:1-17.

[9] เทียบ ฉธบ 5:6-22.

[10] เทียบ เช่น ฮชย 4:2; ยรม 7:9; อสค 18:5-9.     

[11] เทียบ อพย บทที่ 19.          

[12] เทียบ อพย บทที่ 24.          

[13] เทียบ อพย 24:7.             

[14] Origenes, In Exodum homilia 8, 1: SC 321, 242 (PG 12, 350).   

[15] Sanctus Irenaeus Lugdunensis, Adversus haereses, 4, 16, 3-4: SC 100, 566-570 (PG 7, 1017-1018).  

[16] Sanctus Augustinus, Sermo 33,2: CCL 41, 414 (PL 38, 208).    

[17] Cf Concilium Tridentinum, Sess. 6a, Decretum de iustificatione, canones 19-20: DS 1569-1570.       

[18] Concilium Vaticanum II, Const. dogm. Lumen gentium, 24: AAS 57 (1965).       

[19] เทียบ ยก 2:10-11.            

[20] Sanctus Irenaeus Lugdunensis, Adversus haereses, 4, 15, 1: SC 100, 548 (PG 7, 1012).            

[21] Sanctus Bonaventura, In quattuor libros Sententiarum, 3, 37, 1, 3: Opera omnia, v. 3 (Ad Claras Aquas 1887) p. 819-820.

[22] เทียบ ยก 2:10-11.           

ตัวกรอง
รายการของเนื้อหาในหมวดหมู่ ส่วนที่สอง พระบัญญัติสิบประการ
หัวเรื่อง
ตอนที่หนึ่ง พระบัญญัติประการแรก
ตอนที่สอง พระบัญญัติประการที่สอง
ตอนที่สาม พระบัญญัติประการที่สาม
ตอนที่สี่ พระบัญญัติประการที่สี่
ตอนที่ห้า พระบัญญัติประการที่ห้า
ตอนที่หก พระบัญญัติประการที่หก
ตอนที่เจ็ด พระบัญญัติประการที่เจ็ด
ตอนที่แปด พระบัญญัติประการที่แปด
ตอนที่เก้า พระบัญญัติประการที่เก้า
ตอนที่สิบ พระบัญญัติประการที่สิบ
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก Catechism of the Catholic Church