| อันดับแรก  ให้ตระหนักว่านี่ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งสังฆมณฑลใหม่เท่านั้น  
                     แต่ยังเกี่ยวกับการกำหนดเขตในแผนที่ต่างๆ อย่างแน่นอน  ยกระดับเท่ากับสังฆมณฑล  ซึ่งประมวลกฎหมายพระศาสนจักรมาตรา 368  ระบุไว้ชัดเจน
 ประมวลกฎหมายพระศาสนจักรมาตรา 373 
                     กำหนดว่า ผู้ทรงอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียวเท่านั้น  มีอำนาจจัดตั้งพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น  เมื่อได้ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว  พระศาสนจักรเฉพาะถิ่นก็เป็นนิติบุคคลโดยตัวบทกฎหมายเอง
 
 สมณกฤษฎีกาว่าด้วยหน้าที่ของพระสังฆราชในการอภิบาลสัตบุรุษ (CHRISTUS 
                     DOMINUS, nn. 22-24)  ของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2  กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อการฟื้นฟูเขตต่างๆ ของพระศาสนจักร  ในเอกสาร Motu  Proprio ECCLESIAE  SANCTAE  (121)  ได้ยืนยันระเบียบการปฏิบัติแบบเดียวกัน  กฎเกณฑ์บางส่วนเหล่านี้ใช้สำหรับการตั้งแขวงใหม่ของพระศาสนจักรด้วย
 
 ในประมวลกฎหมายของพระศาสนจักรมาตรา 431 วรรค 1 
                     ระบุว่า: พระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่อยู่ใกล้กัน  ต้องรวมกันเป็นแขวงของพระศาสนจักรอันมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน  เพื่อกิจการด้านการอภิบาลร่วมกันของสังฆมลฑลที่อยู่ใกล้กัน  เพื่อจะได้รับการสนับสนุนตามสภาพของบุคคลและสถานที่  และเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพระสังฆราชสังฆมณฑลด้วยกันเองให้ดียิ่งขึ้น     วรรค 3  ของมาตราอันเดียวกันนี้  ระบุว่า ผู้ใหญ่สูงสุดของพระศาสนจักรแต่ผู้เดียว  มีอำนาจการตั้ง  การยุบ  หรือ  การเปลี่ยนแปลงแขวงของพระศาสนจักร  หลังจากที่ได้ฟังความคิดเห็นของพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องแล้ว
 
 การนำเสนอมิใช่เพียงความคิดแบบลอยๆ หรือปราศจากการไตร่ตรองอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่านั้น 
                     แต่จะต้องอธิบาย  หรือให้คำชี้แจงแบบที่เป็นรูปธรรมด้วย  เราสามารถกล่าวว่า  สันตะสำนักยินดีรับข้อเสนอของบรรดาพระสังฆราชเสมอ  เพื่อการพิจารณาและการรับหลักการ  ต่อเมื่อผู้นำเสนอต้องดำเนินตามเงื่อนไข  อันสรุปได้ดังต่อไปนี้
 
 ก)จำเป็นที่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง  ได้มีโอกาสแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าวด้วย
 ข)จำเป็นต้องถือตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ระบุไว้ในเอกสารข้างต้น
 ค)เป็นพิเศษต้องมีจำนวนพระสงฆ์พอสมควรเพื่อจะอภิบาลสัตบุรุษให้ดำเนินไปอย่างดี
 ง)บุคลากรที่ทำงานทั้งในด้านอภิบาล  ในด้านการอบรม  และในด้านการสงเคราะห์  ของสังฆมณฑลแม่  และของเขตใหม่  ต้องแบ่งเท่าเทียมกันโดยให้คำนึงถึงสถานะตามความเป็นจริงทุกประการ
 จ)จำเป็นต้องแบ่งบรรดาสามเณรใหญ่ด้วย  ซึ่งตามปกติให้ถือหลักว่าเขาเหล่านั้นต้องอยู่ในเขตซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตนเอง
 ฉ)อย่างไรก็ตาม 
                     เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดเพื่อการตั้งสังฆมณฑลใหม่ คือ การสรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นพระสังฆราช (คนแรก) ของสังฆมณฑลใหม่  แน่นอนเขาจะต้องมีความสามารถดูแลฝูงแกะ  และจัดการในสิ่งที่จำเป็นต่างๆ อย่างพิเศษ
 
 แน่นอนในเรื่องการตั้งสังฆมณฑลใหม่นี้ต้องได้รับการรับรองและแสดงความคิดเห็นจากบรรดาพระสังฆราชในสภาพระสังฆราชของประเทศนั้น  เพราะถ้าปราศจากการสนับสนุนและความช่วยเหลือของท่านเหล่านั้น  
                    ผู้มีอำนาจสูงสุดของสันตะสำนักไม่สามารถที่จะตัดสินอย่างเด็ดขาดได้  ส่วนผู้แทนพระสันตะปาปา (พระสมณทูต) นั้นต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบรรดาพระสังหราชท้องถิ่น 
                     เพื่อจะได้สามารถแนะนำในสิ่งที่เอื้อประโยชน์แก่ศาสนจักรท้องถิ่น  และท่านต้องแสดงความคิดเห็นของท่านเอง  ต่อกระทรวงที่เกี่ยวข้องของสันตะสำนัก
 
 มงซินญอร์วิษณุ  ธัญญอนันต์  เสนอต่อที่ประชุมคณะสงฆ์
 และสภาภิบาลสังฆมณฑลเชียงใหม่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2014
 
 |