รับบีอาเชอร์ อาศัยในทวีปยุโรปในสมัยกลาง ในสมัยนั้นชนบาร์บาเรียนบุกยุโรป  โจมตีกองคาราวาน บางครั้งโจมตีหมู่บ้าน  ฆ่าชาวบ้าน  เอาสัตว์และของมีค่าไป

วันหนึ่งรับบีอาเชอร์ต้องเดินทางไกลคนเดียว  เขารู้ว่าอันตรายแต่ไม่มีทางเลี่ยงได้  เขาจึงต้องเดินทาง โดยนำของ 3  สิ่งติดตัวไปคือ ไก่  ลา และตะเกียงน้ำมันเล็กๆ

รับบีเอาไก่ไปเพื่อปลุกเขาทุกเช้า เพราะเขาเป็นคนตื่นนอนยาก เขาเอาลาไปเพราะถนนไม่ดี  อาจหกล้ม  เขาเอาลาไปเป็นพาหนะ ที่สุดเอาตะเกียงน้ำมันเพื่อเขาจะสามารถอ่านพระคัมภีร์ทุกคืนก่อนนอน

เย็นวันหนึ่งรับบีมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  หวังว่าจะค้างคืนที่นั่น แต่ชาวบ้านสงสัยเขาและขับไล่ออกจากหมู่บ้าน  เขาก็ไม่โกรธ  เขาเพียงแต่กล่าวกับตนเองว่า  “พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุด  พระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ” ดังนั้นรับบีจึงพักแรมนอกหมู่บ้านใกล้ลำธาร  เขาจุดตะเกียงเพื่ออ่านพระคัมภีร์ก่อนพักผ่อน แต่ลมพัดจนตะเกียงดับ รับบีก็ยอมแพ้ลม  กล่าวกับตนเองว่า  “พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุด  พระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ”

ตอนเที่ยงคืนรับบีได้ยินเสียงจึงตื่นขึ้น  รู้ตัวว่าขโมยเอาลาไป  และมีสัตว์ป่ามาฆ่าไก่ของเขา รับบีก็ไม่โกรธ เขากล่าวกับตัวเองว่า “พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุด พระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ”
วันต่อมารับบีได้รู้ข่าวว่า คืนที่แล้วมีโจรโจมตีหมู่บ้าน ฆ่าชาวบ้าน เอาฝูงสัตว์และของมีค่าไป ถ้ารับบีค้างในหมู่บ้านเมื่อคืนวาน  พวกโจรคงฆ่าเขาด้วยแน่เลย

รับบีรู้ด้วยว่าพวกโจรบาร์บาเรียนได้มาที่ลำธาร  เพื่อปล้นคนเดินทาง  ถ้าโจรเห็นตะเกียงและเห็นเขาอ่านหนังสือ  หรือเสียงไก่  หรือเสียงลา เขาคงถูกปล้นและถูกฆ่าไปแล้ว

คืนนั้นรับบีคุกเข่าภาวนา เขามองฟ้ากล่าวว่า  “ข้าแต่พระเจ้า  พระองค์ทรงรู้ดีที่สุด พระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ”

เรื่องนี้ชาวยิวยังคงเล่าต่อๆ กัน เพราะมีคติสอนเขาบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาชอบลืม คือการมองทุกสิ่งด้วยความเชื่อ  เรื่องนี้เตือนใจในบางสิ่งที่รับบีอาเชอร์กล่าวว่า  “พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุด  พระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ” นี่เป็นเรื่องพิเศษจริงๆ  เกี่ยวกับความเจ็บปวด  และความทุกข์ที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวในบทอ่านแรก (อสย 50: 5-9ก) และที่พระเยซูเจ้ากล่าวในพระวรสารวันนี้ (มก  8: 27-35)

กิจการแห่งความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถทำได้  คือ กล่าวกับพระเจ้าว่า “ผมไม่รู้เหตุผลสำหรับไม้กางเขน”  ที่พระองค์ทรงส่งมาให้ข้าพเจ้า  แต่ข้าพเจ้าจะแบกเพราะว่าพระเยซูเจ้าทรงสอน เกือบทุกคนสามารถแบกกางเขนถ้าเขาสามารถเข้าใจเหตุผล  แต่ผู้ที่มีความรักและความเชื่อสามารถแบกกางเขนถ้าเขาไม่สามารถเข้าใจเหตุผลนั้น ผู้ที่มีความรักและความเชื่อยิ่งใหญ่แบกไม้กางเขนและกล่าวสิ่งที่รับบีอาเชอร์กล่าวคือ  “พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุด  พระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ”

หลายปีมาแล้วมีชายหนุ่มคนหนึ่งเรียนเพื่อบวชเป็นพระสงฆ์  ที่สามเณราลัยแม่พระในชิคาโก (สหรัฐอเมริกา) หนึ่งปีก่อนรับศีลบวช เขาป่วยหนัก ไม่นานก่อนสิ้นชีวิต  เขาเขียนจดหมายถึงเพื่อนคนหนึ่ง  “บ่อยครั้งเราท้อใจในสิ่งที่เราถูกท้าทาย...  ให้มีความเชื่อเติบโตหรือเสียความเชื่อ ผมรู้สึกว่าประสบการณ์นี้กำลังท้าทายผม  ถ้าเราเป็นคริสตชนที่เราอ้างว่าเป็น  เราต้องเชื่อว่าทุกสิ่งในชีวิตมีคุณค่า รวมทั้งความเจ็บป่วยนี้ด้วย”

ชายหนุ่มคนนี้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  เขาทำตามที่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้ทำ เขากำลังยกกางเขนนี้ขึ้นบ่าแบก  เขาดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อตามพระวาจา เขากำลังกล่าวว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีจุดประสงค์ เขากำลังกล่าวสิ่งที่รับบีกล่าวว่า  “พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุด  พระองค์ทรงมีเหตุผลเสมอ”

ความทุกข์และความโศกเศร้าเป็นเหมือนการเกิดและความตาย  มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  เราไม่มีทางหนี  มันจะหาเราจนพบไม่ว่าเราเป็นใคร  หรือเราไปไหน สิ่งสำคัญไม่ใช่ความทุกข์และความเศร้านั้นมาหาเรา


สิ่งสำคัญคือเราตอบมันอย่างไร
สิ่งสำคัญคือเรายอมรับอย่างไร
สิ่งสำคัญคือเราใช้มัน  (ให้เป็นประโยชน์) อย่างไร
เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์และความเศร้าได้ แต่พระเจ้าทรงช่วยเราให้ใช้ประโยชน์มันได้
เราสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งดีสร้างสรรค์ชีวิต  มากกว่าทำลาย
เราสามารถเปลี่ยนมันให้ชีวิต  มากกว่าความตาย
เราสามารถเปลี่ยนมันให้พาเราใกล้ชิดพระเจ้า  แทนที่พาเราออกห่างพระองค์
บทอ่านพระวรสารวันนี้เรียกเราให้เชื่อ
เรียกเราให้ทำตามพระเยซู
เรียกเราให้ทำตามรับบีอาเชอร์
เรียกเราให้ทำตามสามเณรหนุ่มคนนั้น
เรียกเราให้แบกไม้กางเขน
แล้วเราจะพบว่าอีกด้านหนึ่งของไม้กางเขน เต็มไปด้วยพระพรมากมาย  ยิ่งใหญ่  นี่เป็นข่าวดีที่พระเยซูเจ้าปรารถนาให้เราแบ่งปันกันในวันนี้

พระสังฆราช วีระ อาภรณ์รัตน์  แปล
จาก  Sanday  Homilies ปี B โดย Mark Link, SJ., หน้า 749-753.

Home

คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกคริสตศาสนธรรม
อาคารเลขที่ 122/11 ซ.นนทรี 14 (ซ.นาคสุวรรณ)  ถ.นนทรี  ยานนาวา  กรุงเทพฯ 10120