เรื่องที่หนึ่ง เป็นเรื่องที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงกระตุ้นให้บรรดาเยาวชนเรียนรู้และรู้จักกับความหมายของคำว่ารักแท้ และโดยทรงอธิบายว่า ความลับอยู่ตรงที่ “การดำเนินชีวิตเป็นของประทานสำหรับผู้อื่น” เมื่อเร็วๆนี้ ในโอกาสที่พระองค์ทรงประทานวโรกาสให้ผู้แทนของกิจการคาทอลิกอิตาเลียน และยังมีที่มาจากโรมาเนีย อาร์เจนตินา บุรุนดี แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และสเปนอีกด้วย โดยเด็กประมาณ 50,000 คน เยาวชน 30,000 คน และอาจารย์อีกประมาณ 10,000 คน มารวมตัวกันที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์กับพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเปิดโอกาสให้บรรดาเยาวชนถามคำถาม นี่คือส่วนหนึ่งของคำตอบของพระองค์ที่ให้กับเยาวชน “ที่พ่อพูดขึ้นมานี่ถือว่าสำคัญและเป็นพื้นฐานเลยทีเดียว นั่นคือการเรียนรู้และรู้จักที่จะรัก รักที่แท้จริง ให้เรียนรู้และรู้จักศิลปะของความรักที่แท้จริง...ในเยาว์วัย เรามักหยุดที่หน้ากระจกและหมั่นสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเรา หากพวกเธอยังคงจ้องมองที่ตัวเธอต่อไปแบบนี้ พวกเธอจะไม่มีวันเติบโต...พวกเธอจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อพวกเธอไม่ปล่อยให้กระจกเป็นความจริงเพียงเท่านั้น ที่บ่งบอกเกี่ยวกับตัวพวกเธออีกต่อไป แต่ยอมปล่อยให้เพื่อนๆของพวกเธอบอกพวกเธอนั่นแหละ...และพวกเธอจะเติบโตขึ้น หากพวกเธอสามารถที่จะทำให้ชีวิตของพวกเธอเป็นของประทานสำหรับผู้อื่น มิใช่เสาะแสวงหาตัวพวกเธอเอง แต่มอบตัวของพวกเธอเองเพื่อผู้อื่น และนี่แหละที่เรียกกันว่า โรงเรียนแห่งความรัก แน่นอน เป็นต้องเสียสละที่จะดำรงชีวิตความรักในหนทางที่แท้จริง หากไม่มีการเสียสละอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ที่คนหนึ่งจะพบหนทางเช่นนั้น แต่พ่อแน่ใจว่าพวกเธอกล้าพอที่จะบุกบั่นมุ่งมั่นพร้อมเผชิญกับความท้าทาย และพลังแห่งรักที่แท้จริง”

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงตั้งใจที่จะประกาศให้เดือนพฤศจิกายน 2010 เป็นเดือนแห่งการภาวนาเพื่อผู้ติดยาเสพติดและเพื่อผู้ใช่สิ่งเสพติดอื่นๆ โดยเจตนาทั่วไปของพระองค์ ต้องการที่จะภาวนาขอให้ผู้ตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดและสารเสพติดอื่นๆ จักได้พบกับพลังของพระเจ้าแห่งการช่วยให้รอดเพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างถอนรากถอนโคน ด้วยความเชื่อของกลุ่มชุมชนคริสตชน

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่โฆษกประจำสันตะสำนักที่วาติกันแถลงว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า สันตะสำนักต่อต้านโทษประหารชีวิต และมีความต้องการจริงๆ ให้มีการยกเว้นโทษประหารชีวิตนายทาริค อาซิซ อดีตรองนายกและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอิรัก ในสมัยของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน หลังจากศาลอาญาอิรักตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตเขา ด้วยการแขวนคอ โดยนายอาซิซ วัย 74 ปี สมาชิกคนเดียวที่นับถือศาสนาคริสต์ในกลุ่มคนวงในที่เป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ ของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหากระทำฆาตกรรมและก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยไตร่ตรองเอาไว้ก่อน นอกจากนี้สันตะสำนักยังแถลงว่า สมควรไว้ชีวิตเขาเพื่อสนับสนุนการสร้างความสมานฉันท์และการฟื้นฟูสันติภาพและความยุติธรรมในอิรัก หลังจากความทุกข์ยากแสนสาหัส ทั้งนี้ กระทำโดยผ่านทางช่องทางการทูตทุกรูปแบบ
 

เรื่องที่สี่ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ในระหว่างที่เสด็จเยี่ยมประเทศสเปนเมื่อเร็วๆนี้ ทรงเรียกร้องให้มีการปกป้องครอบครัวอย่างจริงจังตามแบบธรรมเนียมประเพณี และปกป้องสิทธิ์ของผู้ที่ยังไม่เกิด พร้อมทั้งทรงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายของสเปน ที่ยอมให้มีการแต่งงานของคนรักร่วมเพศ การหย่าแบบง่ายๆ และการทำแท้งที่ง่ายขึ้น ขณะทรงเป็นประธานในพิธีเปิดโบสถ์ซากราดาฟามิเลีย ของนครบาร์เซโลนา เมืองเอกของชุมชนปกครองตนเอง กาตาโลเนีย และเมืองใหญ่สุดอันดับ 2 ของสเปน รองจากกรุงมาดริด ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน พร้อมทั้งทรงสถาปนาโบสถ์ซากราดาฟามิเลียเป็นมหาวิหารด้วย สมเด็จพระสันตะปาปาทรงวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลพรรคสังคมนิยมของสเปน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีโฮเซ หลุยส์ โรดรีเกซ ซาปาเตโร และทรงเรียกร้องให้ทั้งยุโรปค้นพบคำสอนของศาสนาคริสต์ในรูปแบบใหม่ และนำคำสอนเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

นี่คือส่วนของคำตรัสของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ “มันไม่พอหรอกที่จะให้สังคมก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีเพียงเจริญด้านสังคมวัฒนธรรมเท่านั้น หากสังคมไม่นำพาซึ่งความก้าวหน้าทางศีลธรรมด้วย ด้วยเหตุนี้ พระศาสนจักรจึงไม่ยอมรับการปฏิเสธชีวิตมนุษย์ในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนทุกประการ เพื่อส่งเสริมให้ระเบียบชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติในบรรยากาศของสถาบันครอบครัว”

พระสันตะปาปาทรงเรียกครอบครัวว่าเป็น “ความหวังของมนุษยชาติ...อันเป็นสถานที่ชีวิตได้รับการต้อนรับตั้งแต่การตั้งครรภ์ การให้กำเนิดและการตายอย่างธรรมชาติ”

คุณพ่อเจาเม อายมาร์ (Father Jaume Aymar) ผู้อำนวยการสถานีวิทยุเอสเทลและหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์คาตาลูนาคริสเตียอานา ได้รำพึงสรุปถึงสาสน์และสุนทรพจน์ของพระสันตะปาปาในระหว่างเยือนสเปน คุณพ่อได้กล่าวถึงตอนบทเทศน์ของพระสันตะปาปาที่ว่า “ภารกิจที่สำคัญที่สุดในทุกวันนี้คือ ต้องเอาชนะการแบ่งแยกกันระหว่างมโนธรรมมนุษย์กับมโนธรรมคริสตชน ระหว่างการดำเนินชีวิตในโลกชั่วคราวนี้กับการเปิดสู่ชีวิตนิรันดร ระหว่างความสวยงามของสิ่งของกับพระเจ้าในฐานะทรงเป็นองค์แห่งความสวยงาม”

เป็นการมองให้เห็นว่า ไม่มีสองกลุ่มสองสังคม นั่นคือสังคมพระเจ้าและสังคมมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นสังคมสังคมมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวที่ต้องเปิดตัวออกสู่พระเจ้าเบื้องบน

แม้ในระหว่างการเสด็จเยือนสเปนของพระสันตะปาปา จะมีความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้น เช่น การกระทำของกลุ่มรักร่วมเพศ การออกนโยบายและกฎหมายของรัฐบาล แต่พระสันตะปาปายังคงยืนยันถึงความถูกต้อง เพราะนั่นเป็นความถูกต้องตามหลักจริยธรรมและความถูกต้องของมนุษยชาติ

นี่เป็นส่วนหนึ่งของพระสันตะปาปาในฐานะที่ทรงเป็นผู้ส่งเสริมชีวิต ซึ่งมีอีกมากมายมิอาจ กล่าวไว้ ณ ที่นี้ได้หมด สามารถกล่าวได้ว่า ทุกการกระทำ ทุกวาจา ทุกความคิดของพระองค์ท่านล้วนแต่อยู่ในแนวของการส่งเสริมชีวิตในวัฒนธรรมแห่งชีวิตทั้งสิ้น

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 289 วันที่ 11 – 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 26 คอลัมน์ แสงธรรม โดย นนท์เพ็ชร์

คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกคริสตศาสนธรรม
อาคารเลขที่ 122/11 ซ.นนทรี 14 (ซ.นาคสุวรรณ)  ถ.นนทรี  ยานนาวา  กรุงเทพฯ 10120